
คลังสินค้า คือสถานที่สำหรับเก็บรักษาและจัดการสินค้าหรือวัตถุดิบ ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปยังลูกค้าหรือผู้จัดจำหน่ายอื่น ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) ของธุรกิจ การบริหารคลังสินค้าไม่ใช่แค่เพียงการจัดเก็บสินค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการของกิจการผ่านการควบคุมต้นทุนและการจัดการกระแสเงินสด โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้:
1. ต้นทุนสินค้าคงคลัง
การจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษา ลดความสูญเสียจากสินค้าที่เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุ
2. กระแสเงินสด
การมีสินค้าคงคลังมากเกินความจำเป็น อาจส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนไม่คล่อง และลดกระแสเงินสดที่สามารถนำไปใช้ในด้านอื่นได้
3. การหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง
หากสินค้าหมุนเวียนได้ดี จะช่วยเพิ่มกำไร ลดการจัดเก็บที่ไม่จำเป็น และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
4. การป้องกันการสูญเสีย
การบริหารคลังที่ไม่มีระบบ อาจทำให้เกิดความสูญเสียจากการขโมย สินค้าชำรุด หรือจัดเก็บผิดประเภท
5. มูลค่าสินค้าคงคลัง
การบริหารที่ดีช่วยให้สามารถประเมินมูลค่าของสินค้าคงคลังได้อย่างเหมาะสมตามหลักการบัญชี และใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนธุรกิจ
6. บริการลูกค้าและยอดขาย
การมีสินค้าพร้อมส่ง และสามารถจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และส่งผลต่อยอดขายโดยรวม
การบริหารคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพจึงส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว
ประเภทของคลังสินค้า และหน้าที่ของแต่ละประเภท
คลังสินค้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:
1. คลังสินค้าสำหรับจัดเก็บ
ใช้สำหรับเก็บรักษาสินค้าหรือวัตถุดิบที่รอการผลิตหรือกระจายไปยังปลายทาง เช่น ลูกค้า หรือผู้ผลิตรายอื่น
2. ศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center: DC)
ทำหน้าที่จัดเก็บสินค้าในระยะสั้น และกระจายสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางตามกำหนดเวลา โดยสินค้ามักถูกส่งมาจากหลายแหล่งก่อนกระจาย เช่น คลังของ J&T หรือ 7-Eleven
3. คลังสินค้าสำหรับจัดเก็บและดำเนินการคำสั่งซื้อ (Fulfillment Center)
ทำหน้าที่ทั้งจัดเก็บ และดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เช่น การหยิบสินค้า บรรจุ และจัดส่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ E-commerce
นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ เช่น
- คลังสินค้าทั่วไป (Public Warehouse)
- คลังสินค้าปลอดอากร (Bonded Warehouse) สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก
การเลือกประเภทของคลังสินค้าควรพิจารณาตามลักษณะและความต้องการเฉพาะของธุรกิจ
เอกสารที่ผู้ประกอบการควรรู้เมื่อต้องใช้บริการคลังสินค้า
1. สัญญาบริการคลังสินค้า (Warehouse Service Agreement)
เอกสารที่ระบุข้อตกลงและเงื่อนไขระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ให้บริการ เช่น ขอบเขตการบริการ ค่าใช้จ่าย และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย
2. ใบกำกับสินค้า (Packing List)
แสดงรายละเอียดของสินค้าที่บรรจุในแต่ละกล่อง เช่น รายการสินค้า จำนวน ขนาด และน้ำหนัก เพื่อใช้ตรวจสอบความถูกต้องในการรับหรือส่งสินค้า
3. เอกสารการรับสินค้า (Goods Receiving Document)
ใช้ยืนยันว่าคลังสินค้าได้รับสินค้าตามที่ตกลง โดยจะระบุรายละเอียดของสินค้าและปริมาณที่รับ
4. เอกสารจัดสรรสินค้าภายในคลัง (Goods Adjust Document)
ใช้ในการจัดการภายใน เช่น การย้ายสินค้าไปยังพื้นที่ใหม่ หรือการปรับยอดคงเหลือของสินค้า
5. รายงานสต็อก (Inventory Report)
รายงานสถานะของสินค้าในคลังในช่วงเวลาต่าง ๆ ใช้เพื่อติดตาม และควบคุมการจัดเก็บ
6. รายงานคำสั่งซื้อ (Order Report)
เอกสารที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เช่น การหยิบ บรรจุ และจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.sellsuki.co.th/blogs/detail/203/warehouse-things-you-should-know