
โกดังสาธารณะ vs. โกดังเฉพาะกิจ : ทางเลือกของธุรกิจในยุคโลจิสติกส์ 4.0
ในระบบโลจิสติกส์และ E-commerce การเลือกประเภทโกดังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อความคล่องตัวทางธุรกิจ และต้นทุนการดำเนินงานโดยรวม ปัจจุบันธุรกิจนิยมใช้โกดังอยู่ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ โกดังสาธารณะ (Public Warehouse) และ โกดังเฉพาะกิจ (Private Warehouse) ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะการใช้งานและข้อดีที่แตกต่างกัน
1. ความหมายของโกดังแต่ละประเภท
● โกดังสาธารณะ (Public Warehouse)
เป็นโกดังที่ให้บริการเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้าแก่บุคคลหรือบริษัททั่วไป โดยอาจคิดค่าบริการตามพื้นที่ ระยะเวลา หรือปริมาณสินค้า เหมาะสำหรับธุรกิจที่ไม่ต้องการลงทุนระยะยาวหรือมีปริมาณสินค้าขึ้นลงตามฤดูกาล
● โกดังเฉพาะกิจ (Private Warehouse)
เป็นโกดังที่บริษัทลงทุนสร้างหรือเช่าเพื่อใช้เองแบบระยะยาว โดยมักออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะสินค้า ระบบจัดการ และขั้นตอนเฉพาะของธุรกิจนั้น ๆ
2. ข้อดีและข้อเสียของโกังแต่ละประเภท
ข้อดีของโกดังสาธารณะ
- ประหยัดค่าใช้จ่ายเริ่มต้น
- เริ่มต้นใช้งานได้เร็ว
- ปรับพื้นที่ตามฤดูกาลได้
- ไม่ต้องดูแลระบบด้วยตัวเอง
ข้อจำกัดของโกดังสาธารณะ
- ควบคุมกระบวนการได้น้อย
- อาจมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยี/การเข้าถึง
- ต้องแบ่งใช้พื้นที่กับธุรกิจอื่น
ข้อดีของโกดังเฉพาะกิจ
- วางผังให้เหมาะกับธุรกิจเฉพาะทางได้
- ควบคุมความปลอดภัยและระบบทั้งหมดได้เอง
- ปรับปรุงกระบวนการได้เต็มที่
- รองรับการขยายระยะยาว
ข้อจำกัดของโกดังเฉพาะกิจ
- ใช้เงินลงทุนสูง
- เริ่มต้นใช้งานช้า
- มีความเสี่ยงหากความต้องการลดลง
3. สถานการณ์จริงในประเทศไทย
ความนิยมของ “Shared Fulfillment Center” กำลังเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจสามารถเช่าโกดังร่วมพร้อมระบบจัดส่งแบบครบวงจร
ธุรกิจขนาดกลางจำนวนมากเลือกใช้โกดังสาธารณะกับผู้ให้บริการ 3PL เช่น SCG, JWD, Linfox
ธุรกิจ E-commerce ขนาดใหญ่ เช่น Shopee, Lazada, JD Central มักมีโกดังเฉพาะกิจ พร้อมระบบ Automation และ WMS ของตัวเอง