
ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม หนึ่งในนั้นคือการบริหารจัดการคลังสินค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ E-Commerce ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและต้องการระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง
AI มีบทบาทในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจ เช่น การเติมสินค้าที่ใกล้หมดสต๊อกอย่างรวดเร็ว การเลือกเส้นทางขนส่งที่ประหยัดเวลา และการจัดระเบียบพื้นที่ภายในคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้คือ ระบบ Robot Track System ซึ่งใช้หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติในการหยิบสินค้า ระบบนี้ช่วยให้การค้นหาและหยิบสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากกว่าวิธีดั้งเดิมที่ต้องใช้พนักงานเดินไปหยิบสินค้าแต่ละรายการ ซึ่งใช้เวลานานและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสูง
ข้อดีของการใช้ AI ในการจัดการคลังสินค้า
1. ลดการใช้แรงงานคน
หุ่นยนต์สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ลดการพึ่งพาพนักงาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
2. ลดความผิดพลาดในการทำงาน
ระบบ AI สามารถตรวจสอบและควบคุมการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์
3. ใช้พื้นที่คลังสินค้าได้เต็มประสิทธิภาพ
ด้วยการไม่ต้องเผื่อพื้นที่สำหรับการเดินของพนักงาน การใช้หุ่นยนต์จึงช่วยลดขนาดพื้นที่ทางเดิน ทำให้สามารถใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าได้มากขึ้น
4. ลดต้นทุนการดำเนินงาน
ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบอัตโนมัติ AI สามารถช่วยลดต้นทุนได้ทั้งด้านแรงงานและการจัดการ โดยเฉพาะในคลังสินค้าที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมากในแต่ละวัน
5. เพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
การใช้หุ่นยนต์ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงาน และยังช่วยลดความเสียหายของสินค้าและอุปกรณ์
สรุป
ในอนาคต การใช้ระบบอัตโนมัติเช่น Robot Track System มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในหลายอุตสาหกรรมของประเทศไทย เนื่องจากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้าได้อย่างชัดเจน และยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://industrial.frasersproperty.co.th/th/new-media/blog/how-ai-and-automation-are-impactingwarehousing-in-thailand