
แนวโน้มของคลังสินค้าในยุคดิจิทัล
ในยุคดิจิทัล คลังสินค้าได้เปลี่ยนบทบาทจาก “ที่เก็บสินค้า” ไปสู่ “ศูนย์กลางอัจฉริยะ” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
1. ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehousing)
- การใช้ หุ่นยนต์ (Robotics), AGV (Automated Guided Vehicle) และ ระบบลำเลียงอัตโนมัติ มาช่วยในการหยิบ จัดเก็บ และขนย้ายสินค้า
- ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ และเพิ่มความแม่นยำ
2. การใช้เทคโนโลยี WMS และ IoT
- WMS (Warehouse Management System) เป็นระบบจัดการคลังสินค้า ที่ช่วยควบคุมสต็อกแบบเรียลไทม์
- IoT (Internet of Things) ช่วยเชื่อมโยงอุปกรณ์ในคลัง เช่น เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ เครื่องชั่งน้ำหนัก หรือระบบติดตามสินค้า
3. คลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse)
- รวมการใช้ AI, Machine Learning, และ Big Data เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น พฤติกรรมการสั่งซื้อ แนวโน้มของสต็อก และการจัดวางสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้สามารถทำนายความต้องการล่วงหน้าได้ (Demand Forecasting)
4. รองรับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
- คลังสินค้าต้องปรับตัวให้สามารถจัดการคำสั่งซื้อขนาดเล็กจำนวนมากได้ (เช่น B2C แทนที่จะเป็น B2B)
- เน้นการจัดส่งรวดเร็ว เช่น Same-day / Next-day Delivery
5. คลังสินค้าแบบกระจายตัว (Decentralized / Micro Fulfillment Center)
- จากเดิมที่มีคลังสินค้าขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว เปลี่ยนเป็นมีคลังขนาดเล็กหลายแห่งใกล้ผู้บริโภค
- ช่วยลดระยะเวลาการขนส่งและต้นทุนโลจิสติกส์
6. คลังสินค้าแนวตั้ง (Vertical Warehousing)
- การใช้พื้นที่แนวตั้งในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด โดยใช้ระบบชั้นวางสูงและหุ่นยนต์ช่วยหยิบสินค้า
- เป็นแนวทางที่ตอบโจทย์คลังสินค้าในเมือง (Urban Warehousing)
7. แนวคิดคลังสินค้าสีเขียว (Green Warehouse)
สนับสนุนความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (ESG)
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์, ระบบประหยัดพลังงาน และวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง : https://bait.rmutsb.ac.th/ https://www.bsgroupth.com/