ในยุคที่โลกเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และภัยคุกคามจากโรคระบาด การดำเนินธุรกิจเพียงเพื่อแสวงหากำไรอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ปัจจัยสำคัญที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้คือ มาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งมีบทบาทโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการดำเนินงานในระยะยาว


สุขอนามัยคือรากฐานของความน่าเชื่อถือ

การดูแลสุขอนามัยในทุกกระบวนการตั้งแต่การผลิต บริการ ไปจนถึงสภาพแวดล้อมการทำงาน เป็นตัวชี้วัดความรับผิดชอบของธุรกิจต่อผู้บริโภคและพนักงาน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจร้านอาหารหรือโรงแรมที่ใส่ใจในเรื่องความสะอาดของพื้นที่ เครื่องมือ และวัตถุดิบ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรค และเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า

ความปลอดภัยของพนักงานคือการลงทุนระยะยาว

การสร้างระบบความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน เช่น การอบรมความปลอดภัย การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน หรือการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของพนักงาน ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและความภักดีต่อองค์กรในระยะยาว

ความยั่งยืนเริ่มจากการดูแลคน

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า “การจัดให้มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีสุขอนามัยถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) และเป้าหมายที่ 8 (การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ)

เมื่อองค์กรเลือกให้ความสำคัญกับมาตรฐานสุขอนามัยและความปลอดภัย ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนจากความเสี่ยงหรือปัญหาด้านกฎหมาย แต่ยังสร้าง “ทุนทางสังคม” ที่เสริมภาพลักษณ์ที่ดีและความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม


สรุป

ธุรกิจในปัจจุบันไม่สามารถมองข้ามบทบาทของสุขอนามัยและความปลอดภัยได้อีกต่อไป การลงทุนในมาตรฐานเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามข้อบังคับ แต่เป็นการสร้างฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะเมื่อคนปลอดภัย องค์กรก็เข้มแข็ง และความเชื่อมั่นก็จะงอกงาม

ขอขอบคุณแหล่งที่มา

  • International Labour Organization (ILO). (2023). Occupational safety and health: Fundamental principles and rights at work. https://www.ilo.org