การจัดการสินค้าที่เสียหายหรือหมดอายุในคลังสินค้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียและรักษาประสิทธิภาพของคลังสินค้า วิธีการจัดการที่เหมาะสม ได้แก่ การแยกสินค้า, การทำลาย, การจัดโปรโมชั่น, การคืนสินค้า หรือการบริจาค 


ขั้นตอนการจัดการสินค้าที่เสียหายหรือหมดอายุ:

1. การแยกสินค้า:

แยกสินค้าที่เสียหายหรือหมดอายุออกจากสินค้าที่ยังใช้งานได้ทันที เพื่อป้องกันการนำไปใช้งานหรือจำหน่ายโดยไม่ตั้งใจ

2. การทำลายสินค้า:

หากสินค้าไม่สามารถนำไปใช้งานได้อีกต่อไป ควรทำลายอย่างถูกวิธี โดยอาจต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจก่อน

3. การจัดโปรโมชั่น:

สำหรับสินค้าที่ยังพอมีคุณค่าแต่ใกล้หมดอายุ การจัดโปรโมชั่น เช่น ลดราคา, ซื้อ 1 แถม 1, หรือจัดชุดสินค้า จะช่วยระบายสินค้าและลดความสูญเสียได้ 

4. การคืนสินค้า:

ในกรณีที่ทำสัญญาไว้กับผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ สามารถส่งคืนสินค้าที่เสียหายหรือหมดอายุได้ตามข้อตกลง 

5. การบริจาค

หากสินค้ายังอยู่ในสภาพที่สามารถบริจาคได้ การบริจาคให้กับองค์กรการกุศล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยลดความสูญเสียและสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้

6. การใช้ระบบ FIFO (First In, First Out):

การจัดเก็บสินค้าตามลำดับวันหมดอายุ โดยนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุก่อนมาจำหน่ายก่อน ช่วยลดโอกาสที่สินค้าจะหมดอายุในคลัง

7. การใช้ระบบจัดการสต็อก:

การใช้ระบบจัดการสต็อกสินค้าที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ติดตามสถานะของสินค้าได้แบบเรียลไทม์ และสามารถวางแผนการจัดการสินค้าได้อย่างเหมาะสม 

8. การอบรมพนักงาน:

การอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการสินค้า และการตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความผิดพลาดในการจัดการสินค้า

9. การทำแผนผังคลังสินค้า:

การจัดทำแผนผังคลังสินค้าที่ชัดเจน เพื่อกำหนดตำแหน่งของสินค้าแต่ละประเภท จะช่วยให้การจัดเก็บและค้นหาสินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 

10. การตรวจเช็คอุปกรณ์:

ตรวจเช็คอุปกรณ์ที่ใช้ในคลังสินค้า เช่น รถยก หรือระบบลากสินค้า ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้า


การป้องกันสินค้าเสียหายหรือหมดอายุ:

  • การจัดเก็บสินค้าอย่างเป็นระบบ:

จัดเก็บสินค้าตามประเภทและวันหมดอายุ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาจำหน่ายก่อนได้

  • การตรวจเช็คสต็อกสินค้า:

ตรวจเช็คสต็อกสินค้าเป็นประจำ เพื่อให้ทราบจำนวนสินค้าคงเหลือและวันหมดอายุ 

  • การใช้ระบบ FIFO:

จัดเก็บสินค้าตามระบบ FIFO (First In, First Out) เพื่อให้สินค้าที่เข้ามาก่อนถูกจำหน่ายออกไปก่อน

  • การควบคุมสภาพแวดล้อมในคลัง:

ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในคลังสินค้าให้เหมาะสมกับประเภทของสินค้า เพื่อป้องกันความเสียหาย 

การจัดการสินค้าที่เสียหายหรือหมดอายุอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความสูญเสีย ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของคลังสินค้าได้